วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2561

ข้อแตกต่างระหว่างทรัพยสิทธิ กับบุคคลสิทธิ


             (๑) ทรัพยสิทธิมีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สินโดยตรง เช่น ผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินใด ย่อมชอบที่จะใช้สอย จำหน่าย ได้ดอกผลติดตามเอาทรัพย์สินคืน และขัดขวางมิให้ผู้ใดสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ผู้รับจำนองย่อมมีสิทธิบังคับจำนองเอาจากตัวทรัพย์ที่จำนองได้เสมอ ไม่ว่าทรัพย์นั้นจะตกไปอยู่ที่ใด
                        บุคคลสิทธิ มีวัตถุแห่งสิทธิเป็นการกระทำหรืองดเว้นการกระทำ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๔ แลมาตรา ๒๑๓ เช่นสิทธิตามสัญญาจ้างทำของย่อมก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้จ้างที่จะบังคับให้ผู้รับจ้างทำของนั้นให้แก่ตน
              (๒) ทรัพยสิทธิจะเกิดขึ้นได้ก็แต่โดนอาศัยอำนาจของกฎหมายเท่านั้น กรรมสิทธิ์ สิทธิอาศัย ภารจำยอม และสิทธิอื่นๆ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ สิทธิยึดหน่วงบุริมสิทธิ จำนองและจำนำ เกิดขึ้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้อำนาจไว้ ลิขสิทธิ์เกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ สิทธิในเครื่องหมายการค้าเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ สิทธิบัตรเกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ แต่สิทธิในชื่อเสียงแห่งธุรกิจ (business goodwill) ในขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายไทยรับรองจึงมิใช้ทรัพยสิทธิ
                  บุคคลสิทธิ ย่อมเกิดขึ้นได้โดยนิติกรรม เช่นทำสัญญาจะซื้อขายทรัพย์ ทำสัญญาเช่า ให้กู้ยืมเงิน หรือเกิดโดยนิติเหตุ เช่นเมื่อมีการละเมิดเกิดขึ้น ผู้ถูกละเมิดย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดได้
              (๓) ทรัพยสิทธิ ก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลทั่วไป คือบุคคลอื่นใดก็ตามมีหน้าที่ต้องงดเว้นไม่ขัดขวางต่อการใช้ทรัพยสิทธิของเจ้าของทรัพยสิทธิ เช่น ภารจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน จำนองตกติดไปกับทรัพย์เสมอ ไม่ว่าผู้ใดจะได้ทรัพย์ใต้ทรัพยสิทธิเหล่านี้ไปก็ต้องยอมรับรู้ทรัพยสิทธิเหล่านี้ จะขัดขวางหรือไม่ยอมให้ผู้ทรงทรัพยสิทธิใช้สอยหรือบังคับสิทธินั้นหาได้ไม่
                        บุคคลสิทธิ ก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลโดยเฉพาะเจาะจงเท่านั้น กล่าวคือคู่สัญญาเท่านั้นที่มีหน้าที่กระทำหรืองดเว้นการกระทำการตามสัญญา หรือในเรื่องละเมิดตามหลักทั่วไปก็ก่อให้เกิดหน้าที่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแต่เฉพาะแก่ผู้ทำละเมิดเท่านั้น
                        คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๗๖/๒๕๑๐ สัญญาที่เจ้าของที่ดินยอมให้อาคารของเจ้าของที่ดินข้างเคียวรุกล้ำเข้ามาในที่ดินจนกว่าอาคารนั้นจะถูกรื้อไป แม้ไม่ได้จดทะเบียนจึงไม่ก่อให้เกิดทรัพยสิทธิ แต่ก็ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิซึ่งบังคับได้ระหว่างคู่สัญญา
               (๔) ทรัพยสิทธิ มีลักษณะคงทนถาวรและไม่หมดสิ้นไปโดยการไม่ใช้ เช่น กรรมสิทธิ์ แม้จะไม่ใช่นานเท่าใด ก็ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์อยู่ หาสูญสิ้นไปไม่ หรือจำนองย่อมตกติดไปกับทรัพย์ที่จำนองเสมอ ส่วนการที่มีผู้อื่นมาแย่งการครอบครองและได้กรรมสิทธิ์ไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ นั้นเป็นเรื่องได้กรรมสิทธิ์ไป เพราะผลแห่งการแย่งการครอบครองตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ มีข้อยกเว้นสำหรับทรัพยสิทธิอยู่ ๒ ประเภทเท่านั้น คือภารจำยอมและภารติดพันในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมาตรา ๑๓๙๙ และ ๑๔๓๔ บัญญัติว่า ถ้าไม่ใช้สิบปีย่อมสิ้นไป
                        บุคคลสิทธิมีลักษณะไม่ถาวร และย่อมสิ้นไปถ้ามิได้ใช้สิทธินี้ภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ กำหนดเวลานี้เรียกว่า อายุความซึ่งมาตรา ๑๙๓/๙ ได้บัญญัติไว้ว่า สิทธิเรียกร้องใดๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ และอายุความนั้นมีบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙๓/๓๐ ถึงมาตรา ๑๙๓/๓๕
                        คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๕/๒๕๔๐ สิทธิของผู้เช้าซื้อซึ่งใช้เงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้วที่จะบังคับผู้ให้เช่าซื้อโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าซื้อแก่ตนอันเป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาเช่าซื้อไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความโดยเฉพาะ จึงมีอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๐


มาตรา 8
 คำว่า "เหตุสุดวิสัย" หมายความว่า เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติก็ดี เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะและภาวะเช่นนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8509/2559
          พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 75 ไม่ได้บัญญัติว่าเหตุสุดวิสัยที่เป็นเหตุให้นายจ้างต้องหยุดกิจการนั้นจะต้องเป็นเหตุรุนแรงถึงขนาดให้นายจ้างไม่สามารถประกอบกิจการตามปกติได้โดยสิ้นเชิงเท่านั้น เพียงแต่บัญญัติว่าในกรณีที่นายจ้างมีความจำเป็นโดยเหตุสำคัญอันมีผลกระทบต่อการประกอบกิจการของนายจ้างจนไม่สามารถประกอบกิจการได้ตามปกติ นายจ้างอาจหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวได้การที่โจทก์หยุดกิจการชั่วคราวเฉพาะลูกจ้างในแผนกผลิตเครื่องเสียงติดรถยนต์ด้วยเหตุโรงงาน ผลิตชิ้นส่วนที่โจทก์ต้องสั่งซื้อเพื่อนำมาประกอบการผลิตเครื่องเสียงติดรถยนต์ประสบอุทกภัยน้ำท่วมจนไม่สามารถประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนนำส่งแก่โจทก์ได้ ซึ่งเป็นเหตุที่มีผลกระทบโดยตรงต่อวิกฤตทางเศรษฐกิจในกิจการของโจทก์ ถือว่าโจทก์มีความจำเป็นต้องหยุดกิจการบางส่วนเป็นการชั่วคราวตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 75
             ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2547 คู่ความไม่อุทธรณ์ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในชั้นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 แต่โจทก์เพิ่งยื่นคำร้องขอให้ส่งคำบังคับแก่จำเลยเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 หลังจากระยะเวลาในการบังคับคดีล่วงเลยมานานถึง 9 ปีเศษ ใกล้จะพ้นกำหนดระยะเวลาบังคับคดีแล้วจึงนับว่าเป็นความบกพร่องอันเป็นความผิดของโจทก์เองที่ไม่รีบดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยเสียแต่เนิ่น ๆ ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่า ตามคำร้องขอขยายระยะเวลาบังคับคดีของโจทก์ไม่มีพฤติการณ์พิเศษและไม่มีเหตุสุดวิสัย เท่ากับศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าไม่มีเหตุดังที่โจทก์อ้างมาในคำร้อง อันเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่ามีพฤติการณ์พิเศษและมีเหตุสุดวิสัยที่ศาลควรอนุญาตขยายระยะเวลาบังคับคดีให้โจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 หรือไม่ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามคำร้องขอขยายระยะเวลาบังคับคดีฉบับลงวันที่ 8 กันยายน 2557 มีเหตุที่จะขยายระยะเวลา เนื่องจากรายงานผลการส่งคำบังคับยังไม่เข้าสำนวน โจทก์จึงสามารถยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดีได้และตามคำร้องขอขยายระยะเวลาบังคับคดีฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2557 โจทก์สืบทราบว่าจำเลยทำงานที่บริษัท บ. ซึ่งอยู่ภายในระยะเวลาบังคับคดีเช่นเดียวกัน ถือว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษหรือมีเหตุสุดวิสัยนั้น เป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง อุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวแม้จะเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นซึ่งไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของคดีที่คู่ความพิพาทกัน ก็ย่อมต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวเช่นกัน

ฟ้องซ้อน             หลักกฎหมาย ป.วิ.พ. มาตรา 173 บัญญัติว่า นับแต่เวลาที่ได้ยื่นฟ้องแล้วคดีนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาและผลแห่งการนี้ ...