ฟ้องซ้อน
หลักกฎหมาย
ป.วิ.พ. มาตรา 173 บัญญัติว่า
นับแต่เวลาที่ได้ยื่นฟ้องแล้วคดีนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาและผลแห่งการนี้ ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น
1.
หลักกฎหมายเรื่องฟ้องซ้อนนั้นเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
2.
จะเป็นฟ้องซ้อนได้จะต้องมีคำฟ้อง 2 คำฟ้อง
โดยคำฟ้องแรกอยู่ระหว่างพิจารณาจากนั้นโจทก์ก็เสนอคำฟ้องเข้ามาอีก
คำฟ้องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องทำความเข้าใจในเบื้องต้น
2.1
การจะเป็นคำฟ้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง
จะต้องมีหลักเกณฑ์อย่างน้อยประกอบด้วย ประการแรก จะต้องมีสภาพแห่งข้อหา
ประการต่อมา ต้องมีคำขอบังคับ
2.2
ตัวคำฟ้องอาจจะอยู่ในรูปของคำฟ้องแท้ๆ หรืออาจจะรูปที่เรียกชื่ออย่างอื่น เช่น
คำร้องขอ หรือฟ้องแย้ง หรือคำร้องสอด หรือคำขอให้พิจารณาคดีใหม่
หรือคำร้องขัดทรัพย์ก็ได้
ให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
คำพิพากษาฎีกาที่
7603/2548
ป.วิ.พ.
มาตรา 1 (3), 144,
173, 248
คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกิน
200,000 บาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
248 วรรคหนึ่ง
ซึ่งการฎีกาในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นขอให้พิจารณาใหม่ก็อยู่ในบังคับของบทบัญญัติดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ดังนั้น
ฎีกาของจำเลยที่คัดค้านดุลพินิจของศาลล่างทั้งสองที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกาในชั้นขอให้พิจารณาใหม่ซึ่งเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ถือเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 1 (3)
หลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยฉบับลงวันที่
13 ธันวาคม 2542 แล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา
แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งและศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์
กรณีถือว่าคดีเกี่ยวกับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยฉบับลงวันที่ 13 ธันวาคม
2542 อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ฉบับลงวันที่
22 ตุลาคม 2544 โดยอ้างเหตุเดิมอีกในระหว่างนั้น
จึงเป็นการฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามมาตรา 173
วรรคสอง (1) มิใช่เรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น